รถยนต์ Formula 1 ที่เริ่มต้นฤดูกาลใหม่ในบาห์เรนสุดสัปดาห์นี้เป็นตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบเป็นรายปีในรอบ 40 ปี

และอาจจะเคยนักแอโรไดนามิกส์ในทีม F1 เช่นตัวฉัน ได้ทำงานเกี่ยวกับการออกแบบทั้งในและนอกระบบตั้งแต่ปี 2019 และสุดสัปดาห์นี้แสดงถึงช่วงเวลาแห่งความวิตกกังวลอย่างสุดขีดและความตื่นเต้นอย่างสูง ขณะที่เราพบว่าเป็นครั้งแรกที่เราตีความกฎใหม่ได้ดีเพียงใด .สำหรับสายตาที่ไม่ได้รับการฝึกฝน รถยนต์อาจดูไม่แตกต่างจากที่สิ้นสุดฤดูกาล 2021

มากนัก แต่ในความเป็นจริง กฎข้อบังคับได้ถูกโยนทิ้งไปแล้ว และข้อบังคับได้เริ่มต้นขึ้นใหม่ตั้งแต่ต้นรูปทรงของรถเกือบทุกส่วนเปลี่ยนไป ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังมีความแตกต่างทางสายตาที่ใหญ่กว่าระหว่างรถจากทีมต่างๆ มากกว่าที่เคยมีมาฉันทำงานเป็นนักอากาศพลศาสตร์อาวุโสในทีม F1

และบทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแนะนำคุณเกี่ยวกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและสาเหตุ รวมถึงประเด็นสำคัญที่จะตัดสินว่าใครเร็วและใครไม่ทำไมถึงมีการเปลี่ยนแปลง?กฎเกณฑ์เหล่านี้ใช้เวลาสร้างมาห้าปีแล้ว และกฎเหล่านี้เป็นกฎเกณฑ์แรกที่อิงจากการวิจัยอย่างกว้างขวางจากภายใน F1 โดยมุ่งเป้าไปที่การเปลี่ยนวิธีที่รถยนต์มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน

F1 เห็นว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของรถยนต์เจเนอเรชันที่แล้วคือพวกเขาพยายามติดตามกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งทำให้แซงได้ยากมากมีเหตุผลหลายประการสำหรับเรื่องนี้ แต่ในแง่ของการออกแบบรถยนต์

ประเด็นสำคัญคือวิธีการทำงานของแอโรไดนามิกความตั้งใจของกฎใหม่คือการบังคับให้เราอยู่ในทิศทางที่หน่วยงานกำกับดูแลเห็นชอบตามสไตล์และที่พวกเขาเชื่อว่าจะนำไปสู่การแข่งที่ดีขึ้นก่อนหน้านี้มีปัญหาอะไร?

เมื่อรถ F1 ขับไปในสนามแข่ง มันจะสร้างสิ่งที่เรียกว่าการตื่นขึ้นลักษณะนี้คล้ายกับน้ำที่ทิ้งไว้หลังเรือขณะที่แล่นผ่านไป แต่เนื่องจากอยู่ในอากาศ คุณไม่สามารถมองเห็นได้อากาศในยามตื่นกำลังปั่นป่วนและปั่นป่วน

แต่รถยนต์ F1 ต้องการการไหลเวียนของอากาศที่สะอาดเพื่อให้แอโรไดนามิกทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และสร้างดาวน์ฟอร์ซในปริมาณมหาศาล ซึ่งช่วยให้สามารถทำงานได้อย่างสูง

ในอดีต เมื่อรถคันหนึ่งเข้าใกล้ตามหลังอีกคัน การปลุกจากรถคันหลักช่วยลดแรงกดของรถคันต่อไปที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นจึงพยายามรักษาความเร็วเมื่อเข้าโค้ง ทำให้การแข่งรถใกล้และแซงได้ยากมาก

เหตุผลหลักสำหรับสิ่งนี้คือสิ่งที่เรียกว่าการล้างข้อมูลภายนอก เพื่อให้รถของพวกเขาทำงานได้ดีที่สุด นักออกแบบพยายามผลักดันเสียงปลุกที่เกิดจากล้อหน้าออกไป เพื่อไม่ให้แซงรถของพวกเขาเองและสูญเสียสมรรถนะอย่างไรก็ตาม

ผลที่ตามมาก็คือมันกลับมาอยู่ด้านหลังรถของพวกเขาและล้างรถที่อยู่ใกล้ๆกฎใหม่จะแก้ไขสิ่งนี้อย่างไรแนวความคิดของกฎข้อบังคับใหม่คือพยายามหยุดเราให้ล้างกระแสลมออก

กฎใหม่นี้พยายามส่งเสริมให้มีการไหลเวียนของอากาศมากขึ้นโดยพื้นฐานแล้วพวกเขากำลังพยายามที่จะโยนการปลุกทั้งหมดขึ้นไปในอากาศเพื่อให้มันอยู่เหนือด้านบนของรถด้านหลังทีมงานที่ F1 และ FIA ได้ทำการศึกษาซึ่งแสดงให้เห็นการลดจำนวนการปลุกที่ลดลงอย่างน่าประทับใจจากประสบการณ์ในรถต่อไปนี้

ตัวเลขทางทฤษฎีดูมีแนวโน้มดี รถปี 2019 เสียดาวน์ฟอร์ซไป 43% เมื่อรถคันหนึ่งอยู่ข้างหลังรถคันอื่น ในทางตรงกันข้าม รถปี 2022 น่าจะเสียไปเพียง 15% ที่ความยาวของรถสองคัน มันควรจะสูญเสียเพียง 8%

เมื่อเทียบกับ 24% สำหรับรถปี 2019สิ่งนี้ทำอย่างไร?ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นการยกเครื่องกฎครั้งใหญ่ที่สุดที่ฉันเคยทำมา และหลายคนเชื่อว่ามันอาจจะยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของ

F1คุณต้องย้อนเวลากลับไป 40 ปี สู่ฤดูหนาวปี 2525-2526 เพื่อค้นหาการเปลี่ยนแปลงที่หยั่งรากลึกเช่นนี้ และที่น่าแปลกก็คือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นในฤดูหนาวปีนั้น

ผู้กำหนดกฎเกณฑ์ออกกฎหมายวิธีการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่เรียกว่า ‘ผลกระทบจากพื้นดิน’ เพราะกลัวว่ารถยนต์จะวิ่งเร็วเกินไปเอฟเฟกต์พื้นดินใช้อุโมงค์รูปทรงเหมือนปีกเครื่องบินที่หงายขึ้นเพื่อเร่งอากาศใต้ท้องรถ มันถูกบีบผ่านช่องว่างระหว่างลู่วิ่งและตัวรถ โดยใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรียกว่า ‘เวนเจอร์รี เอฟเฟกต์’ ซึ่งจะสร้างพื้นที่ความกดอากาศต่ำซึ่งจะดูดรถไปทางสนามแข่ง

ตั้งแต่ปี 1983 จนถึงปีที่แล้ว รถยนต์ F1 มีด้านล่างแบนระหว่างล้อหน้าและล้อหลัง แต่ผู้กำหนดกฎได้กลับไปสู่พื้นดินเพราะพวกเขาเชื่อว่าจะมีประสิทธิภาพในการช่วยให้รถยนต์สามารถรักษาสัดส่วนของดาวน์ฟอร์ซได้มากขึ้นเมื่ออยู่ข้างหลังรถคันอื่น

---

อ่านบทความข่าวสารอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ sans-logique.com อัพเดตทุกสัปดาห์